วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

EN-Die Heart 1-2-3-4



Die Hard 4.0 - ปลุกอึด...ตายยาก
+ในแง่ของความเป็นหนังแอ็คชั่นที่ขายความบันเทิงกันแบบเต็มที่ Die Hard 4.0 หรือที่ในอเมริกาใช้ชื่อว่า Live Free Or Die Hard คืองานที่ทำ "ได้ถึง" เพราะอย่างน้อยหนังก็สามารถอัดฉากแอ็คชั่น มาให้คนดูได้ตื่นเต้นและตื่นตาได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตั้งแต่การได้พบกันของจอห์น แม็คเคลนกับแมทท์ ฟาร์เรลล์ แฮคเกอร์หนุ่มอัจฉริยะ . . หนังก็เทฉากแอ็คชั่นใหญ่ๆออกมาติดๆ ชนิดไหลบ่ามาเหมือนสายน้ำ จนผู้ชมแทบไม่ทันได้หายใจหายคอ . .

+แน่ นอนว่าสำหรับตัวละครที่หายไปจากจอตั้งสิบกว่าปีอย่าง "จอห์น แม็คเคลน" นั้น นี่คือการกลับมาที่น่าจะ "งดงาม" แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว หากมองกันในแง่มุมอื่นๆ ที่เก็บเอาเรื่องของการตอบสนองความสะใจด้วยภาพระเบิดลูกโตๆ รวมไปถึงการต่อสู้ที่ดุเด็ดเผ็ดมันส์เอาไว้ . . Die Hard 4.0 ไม่น่าจะเป็นการกลับมาที่งดงามสักเท่าไรนัก . .

+กับตัวเรื่องเอง . . Die Hard 4.0 ยังมาพร้อมกับประเด็นที่เป็นเรื่องความทันสมัยของเทคโนโลยี . . จากการจับตัวประกันในสองภาคแรก และการวางระเบิดถล่มอเมริกาในหนังภาค 3 มาจนถึง Die Hard 4.0 . . ในครั้งนี้ หนังหยิบเอาเรื่องการจารกรรมผ่านระบบอินเตอร์เน็ทมาเล่น โดยผู้ก่อการร้ายที่มาพร้อมกับทีมงานผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ทั้งพวกที่ถูกหลอกมาทำงานให้ และที่เต็มใจมาร่วมงาน เพราะต้องการส่วนแบ่งมหาศาลจากเงินก้อนโต . .

+หลังจากพ้นประเด็น เรื่องที่ว่า สิ่งที่เรียกว่าความ "สด" หรือ "ใหม่" ในหนังภาคต่ออย่าง Die Hard 4.0 ก็ไม่มีอะไรเหลือ ยกเว้นจะมองว่าระเบิดลูกยักษ์กว่าเดิม ฉากแอ็คชั่นทำลายล้างที่มาพร้อมกับอาวุธใหม่ๆ ล้างผลาญ ถล่มทลายมากขึ้น คิวบู๊ที่ผสมผสานการต่อสู้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น เหล่านี้ถือว่าเป็นความสดใหม่ของหนัง . . เพราะทุกอย่างนับจากนี้ ก็ไม่มีอะไรที่ต่างไปจากภาคแรกที่เคยๆเห็นกันมาเมื่อหลายสิบปีก่อน . . จอห์น แม็คเคลนยังคงเป็นตัวละครที่บุคลิกภาพส่วนตัวต่างๆ ราวกับว่าถูกสตัฟฟ์ผ่านข้ามกาลเวลามาจากตอนจบของ Die Hard With The Vengreance ยังไงยังงั้นเลย . .

+ซึ่งแม้เวลาจะผ่านไป ตัวลูกสาวของแม็คเคลนเองก็โตขึ้น สาวขึ้น (แถมสวยอีกต่างหาก) แต่นอกเหนือไปจากนี้แล้ว แม็คเคลนเองก็ไม่ต่างไปจากคนที่จู่ๆก็เดินออกมาจากยุคอดีต แล้วมาโผล่เอาในยุคปัจจุบันที่วันนี้ เวลานี้ทันที . . หากกาลเวลาไม่บั่นทอนภาพลักษณ์ของบรูซ วิลลิส ที่มารับบทจอห์น แม็คเคลนไปบ้าง ก็คงพูดได้อย่างเต็มปากว่า ตัวละครตัวนี้ไม่มีพัฒนาการเลยก็ว่าได้ . .

+ในขณะเดียวกัน หนังก็ยังคงเต็มไปด้วยมุขเก่าๆ ที่คอหนังผู้คุ้นเคยกับหนังชุดนี้น่าจะจดจำกันได้ดี ไม่ว่าจะเป็นบทพูดในอารมณ์กวนๆ ที่เกิดขึ้นในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานของตัวละคร การทำอะไรห่ามๆ ระห่ำๆแบบบ้าบิ่นสุดขั้วชนิดแบบไม่กลัวตาย เสียดายชีวิต . . และที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ ตัวละครฝ่ายผู้ร้ายที่ต้องมาในมาดใจทมิฬ หินชาติเกินคน เป็นผู้ร้ายในแบบที่มาพร้อมกับมิติในแง่มุมเดียว แบบแทบไม่มีความ "ลึก" ให้สัมผัสเลยด้วยซ้ำ ยกเว้นในเรื่องของความเลว และความร้ายกาจในวิธีการที่ใช้ เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตัวเองต้องการ . .

+โดย ที่ต้องไม่ลืมว่า จากที่ฉลาดมาทั้งเรื่อง ล้ำลึกมาตลอดทุกวินาที อยู่ดีดีก็ต้องมาโดน "น็อคมืด" จากคนที่ดูไม่มีอะไร นอกจากแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปแบบทีละเปลาะๆอย่างจอห์น แม็คเคลน ผู้ซึ่งสามารถทำลายสุดยอดแผนการณ์อันซับซ้อนของฝ่ายผู้ร้ายได้อย่างไม่น่า เชื่อ . .

+ไม่แปลก ที่ Die Hard 4.0 จะไม่สนใจ หรือให้น้ำหนักกับเรื่องของบุคลิกภาพของตัวละคร เพราะในที่สุดแล้ว เห็นได้ชัดเจนเลยว่า สิ่งที่หนังต้องการขาย และเน้นด้วยว่า "ต้องขาย" ให้ได้ ก็คือฉากแอ็คชั่นใหญ่ๆ ที่เน้นความอลังการแบบสุดๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงความสมจริง หรือว่าความเป็นไปได้ในความเป็น "มนุษย์" ของตัวละคร . . ไม่ว่าจะเป็นการใช้รถตำรวจพุ่งขึ้นไปชนเฮลิคอปเตอร์ที่ลอยลำอยู่บนฟ้า , การดวลกันระหว่างตัวละครของวิลลิส และแม็กกี้ คิว ซึ่งไปจบลงที่ช่องลิฟต์ หรือที่เป็นที่สุดของที่สุด ก็คือฉากการไล่ล่ารถบรรทุก 16 ล้อที่แม็คเคลนเป็นคนขับบนไฮเวย์ โดยมีเครื่องบินรบเอฟ-35 คอยตีขนาบอยู่ข้างๆ และแน่นอนว่าแม็คเคลนสามารถเอาชีวิตรอดมาได้ . .

+ทั้ง หมดที่ว่ามา ล้วนแล้วแต่เป็นฉากแอ็คชั่นที่ตื่นตา และ (บางทีก็) ตื่นเต้น แต่จะมีอะไรมากกว่านั้นใน Die Hard 4.0 หรือไม่? คำตอบก็คือไม่มี แถมความตื่นเต้น (หรือว่าอาจจะ) ของฉากแอ็คชั่นเหล่านี้ ในหนังก็ถูกสร้างขึ้นมาด้วยบรรทัดฐานที่ว่า ระเบิดต้องลูกใหญ่กว่าเดิม ความเสียหายวินาศสันตะโรต้องอยู่ในระดับฉิ-หายมากกว่าเดิม . . ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องดูแปลกตา หรือว่าสดใหม่ ไล่ไปจนถึงเป็นที่น่าตื่นเต้น ลุ้นระทึกกว่าเดิมแต่อย่างไร . . เพราะไม่ว่าจะด้วยผลลัพธ์แบบไหนๆ ยังไงๆก็รู้กันอยู่ว่าแม็คเคลนก็ต้องเอาตัวรอดได้อย่างแน่นอน . . แถมยังด้วยวิธีการแบบทื่อๆเกินคาดหมาย ที่ให้นิยามได้แบบเดียวกับคำว่า "เวอร์" อีกต่างหาก ดังนั้นความน่าตื่นเต้นในหนัง จึงเป็นส่วนที่ผู้ชมแทบไม่รู้สึกและเอาใจช่วย เพราะรู้ๆกันอยู่แล้วว่ายังไงพระเอกก็ไม่ตาย และจะเอาคืนผู้ร้ายด้วยวิธีไหนมากกว่า . .

+แม้ในแง่ของคอหนัง บางกลุ่ม อาจจะรู้สึกว่า "มากเกิน" ไปบ้างก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ในแง่ของความเป็นหนังแอ็คชั่น บทของ Die Hard 4.0 วางจังหวะในการปล่อยฉากแอ็คชั่นต่างๆได้ดี และอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของจังหวะหนัง และดีกรีความเข้มข้นของฉากแอ็คชั่นที่ค่อยๆเพิ่ม
ระดับความมันส์ขึ้นจนมาถึงฉากสุดท้าย . .

+ที่ น่าสังเกตุสำหรับหนังชุดนี้ก็คือ กับความสำเร็จของ Die Hard ภาคแรก สิ่งที่ลืมไม่ได้สำหรับการที่ทำให้หนังเข้ามาอยู่ในใจของคนดูได้ก็คือ เรื่องของ "อารมณ์" ของหนัง ที่เห็นได้ชัดๆเลยว่า ในหนัง Die Hard ภาคหลังๆนับตั้งแต่ภาค 2 เป็นต้นมา หนังไม่สามารถสร้าง หรือทำให้คนดูรู้สึกได้ถึงความผูกพันของตัวละคร ตลอดจนอารมณ์ในส่วนของดราม่า ที่ไม่ต้องมาก หากขอแค่ให้รู้สึกได้บ้างก็พอ . . อย่างน้อยๆก็ขอให้หนังมีมากกว่าหน้าตา ไม่ต้องถึงขนาดมีจิตใจก็ได้ แต่มีเลือดเนื้อบ้างก็ยังดี . .

+อย่างที่ว่ามาข้างต้น เมื่อมารวมเข้ากับความสดใหม่ ที่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้สดใหม่อะไรมากมาย . . แต่ทดแทนด้วยความมันส์แบบนอนสต๊อป ความตื่นเต้นและตื่นตากับภาพที่ปรากฎบนจอ ถือเป็นประสบการณ์บันเทิงสุดยอดที่ให้กับผู้ชมในโรงภาพยนตร์ ชนิดที่ว่าออกมาจากโรงแล้วก็จบๆกันไป ผ่านแล้วผ่านเลย ไม่มีอะไรให้ต้องจดจำ หรือว่าฝังไว้ในความรู้สึก โดยที่ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องความประทับใจ . . Die Hard 4.0 ถือเป็นอีกหนึ่งหนังดูเพลิน คุ้มเงินในตอนที่ดูในโรงนะ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น